วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

วิธีการฝึกนกบินอิสระ

วิธีการฝึกนกบินอิสระ

1.นำนกออกมาตอนเค้าหิว 
ตลอดช่วงเช้านกจะไม่ได้กินอะไรมาก่อน หากสังเกตุดูนกในช่วงเช้า ๆ ถ้าหากยังไม่ได้ตื่นมาป้อนมันอาหารเราจะเห็นว่านกแสดงอาการหิวหรือว่าตอนเย็นหากว่าเรายังไม่ได้ป้อนอาหารเช่นกัน และวิธีฝึกข้อแรกนี้คือ เริ่มฝึกจากในบ้านก่อน ตอนหิว เรียกให้นกาหา หลังจากมาแล้ว ให้อาหารแล้ววาง จากนั้นเดินหนีไปที่อื่นต่อ เรียกนกมาอีกครั้ง เมื่อเค้ามาก็ให้อาหารแล้ววาง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
2.ท่าและเสียงที่ใช้เรียกนก และ อุปกรณ์ทำเสียงเรียกนกท่าประกอบเรียกนกนั้นมีหลายท่า ซึ่งก็สามารถคิดได้เอง โดยท่าพร้อมเสียงเรียกนกนี้ ต้องหมั่นทำเป็นประจำ เช้า กลางวัน เย็น ใช้ได้ผลดีกับนกหัดบิน

เริ่มฝึกโดย เดินออกห่างมาเรื่อยๆ จากห้าเมตร เป็น สิบเมตร และไกลขึ้นๆจนไกลมาก ซึ่งในระยะไกลมากนี้ เสียงเรียกเรานกจะไม่ได้ยินแล้ว เสียงมนุษย์ อาจจะเดินทางไปได้ไม่ไกลและขณะนกบิน กล้ามเนื้อใหล่ จะทำงานอย่างเร็วมาก จนอาจจะมีเสียงขณะที่บิน
อุปกรณ์ทำเสียงเรียกนก ได้แก่ พวก นกหวีดชนิดต่างๆ ขลุ่ยนกเป็นต้น
3.สถานที่ ที่โล่ง ปลอดคน หรือสิ่งรบกวน สิ่งเร้า
คือการฝึกเรียกนกในสถานที่โล่ง เพื่อให้นกได้บินอย่างอิสระมากขึ้น โดยสถานที่ที่เหมาะสมคือ ที่โล่ง ปลอดคน และไม่มีสิ่งรบกวนต่างๆ เพราะอาจทำให้นกตกใจหรือเกิดความสับสน เป็นสาเหตุทำให้นกบินหนีได้ 

อ้างอิง http://www.nokbin.com/default.asp?content=wboarddetail&wbid=34&qid=1600

วิธีเลือกซื้อลูกนกและวิธีเลี้ยงนกฟอพัส

วิธีเลือกซื้อลูกนกฟอพัส



นกฟอพัสเป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงเป็นเพื่อน โดยปล่อยให้บินได้ภายนอกกรง หรือในอาคาร สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า นกฟอพัส เป็นนกแก้วขนาดเล็กมาก แถมมีสีสันสวยงาม เสียงไม่ดังจนเป็นที่รำคราญ สามารถปล่อยให้บินในที่พักได้ ซึ่งทำให้เกิดความประทับใจต่อผู้ที่ได้เลี้ยงนกชนิดนี้เป็นอย่างมากที่ได้ชื่นชมความสวยงามของตัวนกและความน่ารักเมื่อเจ้านกตัวน้อยเหล่านี้ได้ออกมาอยู่นอกกรง นอกจากนี้ในปัจจุบันได้มีการนำนกฟอพัสไปฝึกเพื่อนำไปปล่อยบินภายนอกอาคารแล้วกลับมาหาเจ้าของ ซึ่งทำให้ผู้เลี้ยงมีความเข้าใกล้ธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และนี่อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับนกที่เราเลี้ยงเลยทีเดียว แต่ทุกขั้นตอนก่อนที่จะสามารถนำเขาออกมาเลี้ยงนอกกรง จะต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง อันประกอบด้วย วิธีการซื้อ วิธีการเลี้ยงดู ตลอดจนถึงวิธีการฝึกฝน
วิธีการซื้อ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่จะทำให้เราได้ชื่นชมความสุข ความเพลิน อันแปลกใหม่ในชีวิตที่จะได้จากนกฟอพัส วิธีการซื้อนกลูกป้อน สามารถแยกเป็นประเด็นต่างๆได้ดังนี้
1. ไม่ควรซื้อลูกป้อนโดยการเปรียบเทียบราคา
2. ไม่ควรซื้อ จากแหล่งที่อาจมีเชื้อโรค
3. ไม่ควรซื้อ เพียงแค่ได้ดูรูปถ่าย
4. ไม่ควรซื้อลูกป้อนที่เคยผ่านการแยกจากพ่อ-แม่ มาป้อน
(ยกเว้น เฉพาะผู้ที่มีความชำนาญเท่านั้น)
5. ไม่ควรซื้อ เพราะว่าใจร้อน อยากได้ทันที
6. ควรซื้อลูกป้อนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง
7. ควรได้มีโอกาสเลือกลูกป้อน
8. ควรซื้อจากผู้ขายที่สามารถให้คำแนะนำ-ปรึกษาที่ถูกต้อง
9. ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ


วิธีการเลี้ยงนกฟอพัส
ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ทุกคนย่อมไม่ต้องการให้สัตว์ที่เลี้ยงอยู่ตาย ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินหรือเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพ สำหรับนกฟอพัสนั้น มีสาเหตุการตาย จำพวก คือ

จำพวกแรก ได้แก่พวกที่แก่ตายและเกิดอุบัติเหตุตายการป้องกัน สามารถทำได้ดังนี้
1. ควรเลือกซื้อลูกนกมาเลี้ยง เพราะลูกนกสามารถมีอายุอยู่ได้อีกนานจึงจะแก่ตาย
2. ไม่ควรนำลูกนกที่มีอายุแตกต่างกันมากมาเลี้ยงรวมกัน เพราะลูกนกที่มีอายุมากกว่าอาจจะทำร้าย พวกที่มีอายุน้อยกว่าจนตายได้
3.ไม่ควรนำลูกนกจำนวนมากเกินไปมาเลี้ยงรวมกัน ถ้ากรงที่ใช้เลี้ยงไม่ใหญ่มากพอ

จำพวกที่สองได้แก่พวกที่เจ็บป่วยตาย ซึ่งส่วนมากมักมีสาเหตุมาจากการเกิดโรคท้องเสีย แฮงเกอร์แต่มักจะเป็นเฉพาะตัวมันเองเท่านั้นการป้องกัน สามารถทำได้ดังนี้
1. ควรเลือกซื้อนกที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ร่าเริง แจ่มใส ไม่หงอยซึม
2. ควรสร้างโรงเรือนที่ล้อมด้วยตาข่ายลวดตาเล็ก เพื่อป้องกัน หนู และงู เข้าไปทำร้าย
3. ก่อนนำนกใหม่เข้าโรงเรือนเพาะเลี้ยง ควรนำนกไปทำความสะอาดตัวโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเจือจางอาบทั้งตัวแล้วอาบด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นนำไปผึ่งแดดอ่อนๆจนตัวแห้งแล้วจึงนำนกเข้าโรงเรือน
4. น้ำกิน อาหารให้สะอาดอยู่เสมอ และต้องไม่ขาด
5. ดูแลทำความสะอาดอุปกรณ์ กรง และโรงเรือนอยู่เป็นประจำ
6. ควรหมั่นตรวจตา นกที่อยู่ในโรงเรือนว่ามีอาการผิดปกติ เช่น หงอยซึม ขนพองฟู หัวซุกปีกหรือไม่ ถ้ามี ควรแยกออกจากฝูงเพื่อทำการรักษา

ในกรณีที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ควรให้ยาป้องกันซัก 1-3 วัน  โดยสังเกตจากตัวนกว่าขนเริ่มพองฟู หัวซุกปีกหรือไม่

อ้างอิง http://www.siamforpus.com/article/13.html
http://www.siamforpus.com/article/9.html


ลักษณะและพฤติกรรมของนกฟอพัส

ลักษณะและพฤติกรรมของนกฟอพัส

นกฟอพัสมีลักษณะและพฤติกรรมคล้ายคลึงกับนกหลายชนิด เช่น เลิฟเบิร์ด ฟิ้นซ์ 7 สี   เป็นต้น   จากประสบการณ์ที่เราได้ทำการศึกษาเลี้ยงดูนกฟอพัสมาอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า ปี   พบว่าความคล้ายคลึงสามารถเปรียบเทียบกับนกชนิดอื่นๆได้ดังนี้คือ
1. สีสัน  มีความคล้ายคลึงใกล้เคียงกับนกเลิฟเบิร์ด   และสามารถพัฒนาสีสันใหม่ๆได้
2. รูปร่าง คล้ายคลึงกับนกเลิฟเบิร์ด 
3. ขนาด ใกล้เคียงกับนกหงส์หยกสายพันธุ์ฮอลแลนด์ แต่หางสั้นกว่า
4. การจำแนกเพศ  มีตำแหน่งที่สามารถใช้บ่งบอกเพศได้ชัดเจน     (ยกเว้น ขาวตาแดง)เช่นเดียวกับนกหงส์หยก เพียงแต่คนละตำแหน่งกัน
5. ลักษณะการป่ายปีนคล้ายกับนกแก้วหกหรือนกในตระกูลพาราคิต
6. ชอบของเล่น  เหมือนนกหงส์หยก
7. ถ้าหากเลี้ยงเป็นนกเชื่อง โดยทั่วไป จะเชื่องมาก เช่นเดียวกับนกค็อกคาเทล เนื่องจากมีขนาดเล็ก บางครั้งอาจดูเหมือนของเล่นสำหรับเด็กๆ
8. ขนาดกรง และอุปกรณ์ที่ใช้คล้ายกับนกเลิฟเบิร์ด9. วิธีการเลี้ยงดู    และเพาะขยายพันธุ์คล้ายกับนกเลิฟเบิร์ด
10. อาหารหลัก    ใช้เมล็ดธัญพืช เช่นเดียวกับนกเลิฟเบิร์ด    แต่อัตราส่วนผสมต่างกัน
11. อาหารเสริมคล้ายกับนกเลิฟเบิร์ดและนกฟิ้นซ์ 7 สี

จากที่กล่าวมาข้างต้น       จึงทำให้นกฟอพัสกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจากผู้นิยมเลี้ยงนกไว้ดูเล่นหรือเป็นเพื่อน(Companion Animal) ทั่วโลก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า มีลักษณะ   รูปร่าง    พฤติกรรมและวิธีการเลี้ยงดูคล้ายคลึงกับนกหลายชนิดดังที่กล่าวมา



อ้างอิง http://www.siamforpus.com/article/7.html

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนกฟอพัส

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนกฟอพัส

นกเป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่มนุษย์ทั่วโลกนำมาเพาะเลี้ยง เพื่อเสริมสร้างความสุขให้กับชีวิตมาเป็นเวลานานแล้วจนบางประเทศใช้นกเป็น สัญลักษณ์ของประเทศก็มี มนุษย์มีความพยายามอย่างสูงมากเพื่อที่จะนำนกต่างๆมาเลี้ยงเป็นเพื่อนและ เพาะขยายพันธุ์ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาโครงสร้าง สายพันธุ์ สีสัน ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นกว่าที่มีอยู่ในธรรมชาติ

นกฟอพัสเป็นนกแก้ว(นกตระกูลปากขอ)ชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก ที่สุด (parrotlet) ซึ่งจัดอยู่ในประเภทนกสวยงาม สามารถพัฒนาสีสันได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ส่งเสียงดัง นกฟอพัสเป็นนกที่ถูกจัดให้ขึ้นบัญชีไซเตสประเภท 2 ปัจจุบัน สามารถจำแนกออกได้ทั้งหมด 8 สายพันธุ์ คือ

1.       Yellow-face parrotlet (Forpus xanthops) มี ขนาดความยาว 15 ซม. เป็นสาย พันธุ์เดียวที่มีขนาดความยาวมากที่สุด มีถิ่นกำเนิดในประเทศเปรู

2.       Maxican parrotlet (Forpus cyanopygius, Forpus c. insularis) มีขนาดความยาว 13 ซม. มีถิ่นกำเนิดในประเทศแมกซิโก

3.       Green-rumped parrotlet (Forpus passerinus, Forpus p. viridissimus, Forpus p. deliciosus) มีขนาดความยาว 12 ซม. มีถิ่นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส

4.       Blue-winged parrotlet (Forpus xanthopterygius, Forpus x. flavissimus, Forpus x. flavescens) มีขนาดความยาว 12 ซม. มีถิ่นกำเนิดในประเทศอาเจนติ น่า บราซิล

5.       Spectacied parrotlet (Forpus conspicillatus, Forpus c. caucae) มีขนาดความยาว 13 ซม. มีถิ่นกำเนิดในประเทศปานามา

6.       Turqoise-rumped parrotlet (Forpus spengeli) มีขนาดความยาว 12 ซม. มีถิ่นกำเนิดในประเทศโคลัมเบีย

7.       Sclaters parrotlet (Forpus sclateri) มีขนาดความยาว 12 ซม. มีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล

8.       Pacific parrotlet (Forpus coelestis) มี ขนาดความยาว 13 ซม. มีถิ่น กำเนิดในประเทศเปรู


สีสันของนกฟอพัส ปัจจุบันมีมากกว่า 10 สี เช่น เขียว ฟ้า เหลือง ขาว พายด์ เป็นต้น ซึ่งเป็น นกในสายพันธุ์ Pacific parrotlet ซึ่งมีลักษณะการถ่ายทอดพันธุกรรม 2 แบบ ได้แก่ incomplete dominant ในนกพายด์ กับแบบ recessive ในนกสีอื่น ส่วนสายพันธุ์ Blue-winged parrotlet ในนกลูติโน่ จะมีการถ่ายทอดพันธุกรรมเป็นแบบ sex-linked

การจำแนกเพศนกฟอพัส สามารถจำแนกเพศได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ลูกนกอายุประมาณ 3 สัปดาห์ โดยจำแนกจากความแตกต่างของสีที่ลั้มและโคนปีก เพศเมียจะมีสีเช่นเดียวกันกับสีของตัวนก ยกเว้น นกขาวตาแดงซึ่งไม่มีความแตกต่างระหว่างเพศผู้กับเพศเมีย ต้องอาศัยการตรวจเพศจากห้องแล็บหรือใช้วิธีลองจับคู่ก็ได้

นกฟอพัสมีจุดเด่นหลายประการ คือ เป็นนกแก้วที่มีขนาดเล็กมากที่สุด น่ารัก มีสีสันสวยงาม จำแนกเพศได้ง่าย สามารถเลี้ยงในแหล่งชุมชน หอพัก โดยไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านหรือห้องข้างเคียง กินอาหารไม่มาก เลี้ยงลูกเก่ง อายุยาวนาน และไม่มีโรคติดต่อ จึงเหมาะสำหรับนำมาเลี้ยงดูเล่นอย่างมาก

อ้างอิง http://www.siamforpus.com/article/6.html

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้ สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน 4.0 International..

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประวัติกรุงเทพมหานคร



คำว่า กรุงเทพมหานคร แปลว่า "พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร" มาจากชื่อเต็มว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ มีความหมายว่า พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคง และเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้
โดยนามเดิมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ พระราชทานในตอนแรกนั้น ใช้ชื่อว่า “กรุงรัตนโกสินทร์อินท์อโยธยา” ต่อมาในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแก้นามพระนครเป็น “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินท์ มหินทอยุธยา” จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนคำว่า บวร เป็น อมร เปลี่ยนคำว่า มหินทอยุธยา โดยวิธีการสนธิศัพท์เป็น มหินทรายุธยา และเติมสร้อยนามต่อ ทั้งเปลี่ยนการสะกดคำ สินท์ เป็น สินทร์ จนเป็นที่มาของชื่อเต็มของกรุงรัตนโกสินทร์ ข้างต้น

ชื่อทางการของกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ "Krung Thep Maha Nakhon" แต่คนทั่วไปนิยมทับศัพท์ตามชื่อที่ผู้พูดภาษาอังกฤษเรียกเมืองนี้ว่า "Bangkok" ซึ่งมาจากชื่อเดิมของกรุงเทพมหานคร คือ "บางกอก"
พื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร ชาวต่างชาติเรียกกันว่า "บางกอก" มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีความสำคัญเนื่องจากเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรต่าง ๆ เป็นเมืองหน้าด่านขนอน คอยดูแลเก็บภาษีกับเรือสินค้าทุกลำที่ผ่านเข้าออก ส่วนบริเวณปากน้ำตรงอ่าวไทย เรียกกันว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" มีชุมชนใหญ่และโกดังของชาวต่างประเทศไว้สำหรับพักสินค้า ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณอำเภอพระประแดง
ที่มาของคำว่า "บางกอก" นั้น มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากการที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า "บางเกาะ" หรือ "บางโคก" หรือไม่ก็เป็นเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า "บางมะกอก" โดยคำว่า "บางมะกอก" มาจากวัดอรุณ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของวัดดังกล่าว และต่อมาต่อมากร่อนคำลงจึงเหลือแต่คำว่าบางกอก
ต่อมาเมื่อถึงคราวเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310 หลังการกอบกู้อิสรภาพจากพม่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2313 ครั้นสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชดำริว่า ฟากตะวันออกของกรุงธนบุรีมีชัยภูมิดีกว่าตะวันตก เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างตะวันตก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา
พระองค์มีพระบรมราชโองการให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครใหม่ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2325 ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 9 บาท (54 นาที) ปีขาล จ.ศ. 1144 จัตวาศก ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6.54 น. และทรงประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนชื่อพระนครจาก บวรรัตนโกสินทร์ เป็น อมรรัตนโกสินทร์ และมีฐานะในการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็น "จังหวัดพระนคร"
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนใหม่ขึ้น ทรงดำริให้ตัดถนนเจริญกรุง เป็นถนนเส้นแรกในกรุงเทพมหานคร ก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404 และเปลี่ยนรูปแบบผังเมืองกรุงเทพมหานครเฉกเช่นอารยประเทศ เนื่องจากในสมัยนั้นสยามประเทศถูกคุกคามจากมหาอำนาจยุโรป และตรงจุดนี้เป็นหนึ่งในข้ออ้างที่มหาอำนาจนำมาใช้เพื่อแทรกแซงและคุกคามสยามประเทศ ภายหลัง ต่างชาติยุโรปเองได้ยอมรับกรุงเทพมหานครว่า เป็นหนึ่งในเมืองที่มีผังเมืองงดงามที่สุดในโลกในสมัยนั้น[11]
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรได้รวม จังหวัดพระนคร และ จังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร แต่นิยมเรียกกันว่า กรุงเทพฯ



Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้ สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน 4.0 International..

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นายธรรมวาณิชย์ ทาเวียง



สวัสดีครับ ... ชื่อ ธรรมวาณิชย์ ทาเวียง อายุ 20 ปี
ศึกษาอยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาสื่อสารการตลาด(IMC)
FACEBOOK : https://www.facebook.com/thammarwarnit.tharviang.1